Wednesday, October 14, 2009

การทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า

การทำสมาธิของคนส่วนใหญ่ประสบกับความล้มเหลว

หรือก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นลบกับการทำสมาธิ

เพราะขาดแนวทางที่ถูกต้อง

หรือมองแนวทางที่ถูกต้องแบบผิดๆ

ซึ่งก็หมายความว่ายิ่งทำสมาธิเท่าไร

ใจก็ยิ่งแกว่ง หรือห่างไกลจากสมาธิที่ถูกที่ชอบมากขึ้นเท่านั้น


ความเข้าใจขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด

ถ้าขาดความเข้าใจแล้วกระโดดไปพยายามทำสมาธิเลย

เกือบร้อยทั้งร้อยจะพยายามเพ่งจับสิ่งใดสิ่งหนึ่งแน่นเกินไป

หรือไม่ก็จ้องบังคับความคิดของตัวเองให้ดับไปดื้อๆ


การทำสมาธินั้น ทุกคนหวังจะได้ผลเป็นความสุขสงบ

พูดง่ายๆ สมาธิคือการเปลี่ยนอึดอัดเป็นสบาย

แต่หลายคนทำสมาธิแล้วเปลี่ยนสบายเป็นอึดอัด

แล้วจะไปชอบใจหรือเห็นค่าของสมาธิได้อย่างไรกัน?


เพื่อจะมองเห็นทั้งเป้าหมายของสมาธิแบบที่พระพุทธเจ้าสอน

ตลอดจนทราบขั้นตอนของความสำเร็จอย่างชัดเจน

ก็ขอให้ทำความเข้าใจผ่านข้อสงสัยในหมู่นักเจริญสติ

ที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุด และก่อให้เกิดความละล้าละลังที่สุด ดังต่อไปนี้


) การทำสมาธิกับการเจริญสติต่างกันอย่างไร?


สมาธิคือภาวะของจิตที่ "ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว"

คือนิ่งอยู่กับตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งอื่น

หรือเมื่อมีสิ่งอื่นมารบกวนก็ไม่แกว่งไกวตามง่ายๆ


สติคือภาวะของจิตที่ "รู้เรื่องรู้ราว"

คือไม่ใช่เอากันแค่นิ่งอยู่ในฝัก

แต่ตัดเชือกกันว่าเอาตัวรอดได้หรือเปล่าด้วย

เปรียบเทียบได้กับคนที่เผชิญกับอุบัติเหตุกะทันหัน

ต้องนิ่งด้วย แล้วก็มีความเฉียบคมฉับไวด้วย

จึงจะหลีกหลบสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

ด้วยความเป็นอัตโนมัติทันเวลา


ทางพุทธเปรียบสิ่งกระทบหูตาและกายใจทั้งหลาย

ว่าเหมือนเป็นภัยหรือยาพิษ

เมื่อไม่รู้ว่าเป็นภัยหรือยาพิษเราก็ไม่หลีกหลบ

ผลลัพธ์คือจิตเกิดความเสียหายอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน


สัมมาสติคือฝึกรู้ในสิ่งที่ควรรู้

ไม่ว่าจะนับจากก้าวแรกที่เห็นลมหายใจ

ไปจนถึงก้าวสุดท้ายที่เห็นธรรมทั้งปวง

ล้วนแต่ควรรู้ว่าเหล่านั้นไม่เที่ยง

บังคับให้เป็นอย่างใจไม่ได้

ไม่อาจคงรูปให้เป็นตัวเป็นตนอย่างใดอย่างหนึ่งถาวร

เมื่อรู้ความจริงก็จะได้ไม่มีอาการยึด

เช่น เมื่อรู้แล้วว่าจิตไม่เที่ยง

บังคับจิตให้เป็นไปตามต้องการไม่ได้

เราก็จะได้ไม่คาดหวัง

ยึดมั่นสำคัญผิดว่าจะให้มันทรงนิ่งอยู่ตลอด

หรือเมื่อรู้แล้วว่ากายไม่เที่ยง

เหนี่ยวรั้งให้กายคงอยู่ในสภาพใดสภาพหนึ่งไม่ได้

เราก็จะหมดความทุรนทุรายเมื่อมันเหี่ยวย่นลง

หรือแม้กระทั่งร่างของบุคคลอันเป็นที่รักแตกดับ

เราก็จะไม่ร่ำร้องคร่ำครวญให้ร่างนั้นกลับฟื้นคืนชีพ


การเจริญสติมุ่งหมายเอาการฝึกรู้กายใจตามจริง

ผลลัพธ์สุดท้ายคือสมาธิที่เรียกว่า "อริยสมาธิ"

คือจิตตั้งมั่นรู้อยู่เองเป็นอัตโนมัติว่า

กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ

ดังนั้น ถ้าจะกล่าวโดยภาพรวม

ก็ต้องบอกว่าการทำสมาธิแบบพระพุทธเจ้า

คือ "การเจริญสติ" แบบที่เราได้ยินกันมากขึ้นในยุคนี้นั่นเอง

เมื่อทำสมาธิจนเป็นอริยสมาธิเต็มขั้น

ก็คือการเกิดปรากฏการณ์ล้างผลาญกิเลสเป็นขั้นๆ

เรียกว่ามรรคผลขั้นโสดา สกทาคา อนาคา และอรหัตต์ตามลำดับ


) สมถะกับวิปัสสนาต่างกันอย่างไร?


สมถะหมายถึงการอาศัยวิธีอันเป็นธรรมใดๆ

ทำให้ใจสงบจากกิเลส เพื่อให้พร้อมรู้เป็นวิปัสสนา

พูดสั้นๆคือ "ทำจิตให้สงบลงพร้อมตื่นรู้ตามจริง"


ปัจจุบันคนมักพูดถึงการทำสมถะ

ว่าคือการนั่งสมาธิและเดินจงกรม

หรือหนักกว่านั้นคือสมถะเป็นเครื่องถ่วง

ไม่ให้สนใจวิปัสสนา

ติดสมถะแล้วคือได้ไปเป็นพรหม

หมดสิทธิ์เข้าถึงมรรคผลนิพพาน

สมถะเลยถูกมองเป็นผู้ร้าย

และเห็นวิปัสสนาเป็นพระเอก


ข้อเท็จจริงก็คือไม่มีใครเป็นผู้ร้าย

ไม่มีใครเป็นพระเอก

มีแต่ขาสองข้างที่พาเราเดินไปถึงฝั่ง

ขาดข้างใดข้างหนึ่งก็เรียกว่าขาเป๋

เดินลำบาก ไปถึงปลายทางได้ยาก

หรือยิ่งถ้าขาข้างที่เหลือป้อแป้ปวกเปียก

ก็อาจออกจากจุดเริ่มต้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ


คำว่า "วิปัสสนา" นั้น

รากของนิยามมาจากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในวิธีเจริญสติ

ใจความคือให้

"ดูกายใจนี้ตามจริงเท่าที่ปรากฏอยู่เป็นปกติ"

และที่เป็นปกติเลยก็คือทั่วทั้งกายใจนี้

กำลังแสดงความไม่เที่ยงให้เราเห็นอยู่ตลอดเวลา

นับตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกไปจนกระทั่งความรู้สึกนึกคิด

ใครจะทำหรือไม่ทำวิปัสสนา

กายใจก็แสดงความจริงอยู่อย่างนั้น

ผู้ทำวิปัสสนาเพียงแต่เข้าไปดู เข้าไปรู้อย่างยอมรับเท่านั้นเอง


ฟังดูเหมือนง่าย

แต่ลงมือทำจริงจะยาก

นั่นก็เพราะจิตกระเพื่อมด้วยพลังกระตุ้นของกิเลสอยู่เรื่อยๆ

เช่น แค่ไม่อยากยอมรับว่าเราเป็นฝ่ายผิด

จิตจะบิดเบี้ยว กิเลสจะกระตุ้นให้หาเหตุผลสารพัด

มาพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก

คนเราสั่งสมนิสัยเช่นนี้กันโดยมาก

คนส่วนใหญ่จึงมีจิตที่ยอมรับตามจริงได้ยาก

หรืออย่างตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้ตัวอยู่

ตอนฟุ้งซ่านหาทางมีความสัมพันธ์ทางเพศ

ตอนฟุ้งซ่านหาทางแก้เผ็ดคนที่ทำให้เราเจ็บใจ

จะไม่มีสิทธิ์เห็นความฟุ้งซ่าน

และความฟุ้งซ่านย่อมบดบังทุกสิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นโลกภายนอกที่ปรากฏตรงหน้า

หรือจะเป็นโลกภายในทางกายทางใจใดๆ


การทำสมถะจึงมีบทบาทสำคัญ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ยังกระเพื่อมไหวอยู่มาก

หากอาศัยสมถะมาช่วย ก็จะเห็นอะไรชัดกระจ่างแตกต่างไป


สรุปว่าสมถะคือการลดระดับความกระเพื่อมไหว

หรือสมถะคือการรักษาจิตไว้ไม่ให้กระเพื่อมไหวก็ได้

ประเด็นคือเมื่อจิตลดความกระเพื่อมไหวแล้ว

จึงค่อยมีความสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ

ไม่ใช่เห็นแบบโคลงเคลง ไม่ใช่เห็นแบบโยกไปไหวมา


) จะต้องเริ่มด้วยสมถะหรือวิปัสสนาก่อน?


มักมีการอ้างถึงพระอานนท์

ที่ท่านใจกว้าง เปิดรับทั้งลูกศิษย์ที่ชอบทำสมถะก่อนวิปัสสนา

หรือแบบที่อยากทำวิปัสสนาก่อนสมถะ

ตลอดจนแบบที่อยากทำทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กันไป

ความจริงก็คือถ้าเราดูที่ตัวเองอย่างเข้าใจ

ว่าเหมาะกับอะไร

ไม่ถือเอาตายตัวเป็นสากลว่าเริ่มอันไหนก่อนถึงจะดีกว่า

ปัญหาก็จะหมดไป และไม่ต้องกังขาอยู่เนืองๆ


ยกตัวอย่างถ้าเป็นคนกลัดกลุ้มรุ่มร้อนในราคะ โทสะ โมหะอยู่เรื่อยๆ

ก็อย่าเพิ่งฝืนทำวิปัสสนาให้ยาก

ต้องหาทางลดความรุ่มร้อนลงเสียบ้าง

เช่น ลดเหตุแห่งความตรึกนึกถึงเรื่องกามและเรื่องโกรธ

หันมาแผ่เมตตาหรือปลงสังเวชในความเน่าเปื่อยแห่งกายเสียบ้าง

พอร้อนเปลี่ยนเป็นเย็น พอทะยานอยากเปลี่ยนเป็นสงบระงับ

จิตถึงค่อยพร้อมจะเห็นตามจริงแบบวิปัสสนาได้


แต่หากเป็นคนยอมรับตามจริงได้ง่ายมาแต่ไหนแต่ไร

เคยมีนิสัยเห็นประโยชน์ตามที่มันเป็นประโยชน์

เห็นโทษตามที่มันเป็นโทษ สำนักผิดตามที่ทำผิด

กับทั้งรักษาวาจาสัตย์ พูดคำไหนคำนั้นไม่กลับกลอก

ไม่พูดเอาดีเข้าตัว ไม่โยนชั่วให้คนอื่น

เช่นนี้ไม่ต้องพยายามทำสมถะมากก็ยกขึ้นวิปัสสนาได้เลย

ทำวิปัสสนาไป เดี๋ยวจิตคลายความยินดีในกิเลสทั้งหลาย

กลายเป็นสมถะไปในตัวได้เอง


) อานาปานสติคืออะไร?


อานาปานสติเป็นทั้งการทำสมาธิและการเจริญสติ

เป็นทั้งสมถะและวิปัสสนาในคราวเดียวกัน

แต่อย่างที่กล่าวแล้วว่าต้องมี "ความเข้าใจ" เป็นทุนก้อนแรกไว้ก่อน

หากปราศจากความเข้าใจแล้ว

อานาปานสติอาจเป็นสมาธิเก๊ๆ เป็นการเจริญสติเทียมๆ

หรืออาจเป็นสมถะถ่วงความเจริญ หรืออาจเป็นวิปัสสนายาพิษ

แทนที่จะเห็นอะไรตามจริง

กลับเห็นแต่อะไรที่ส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าข้างตัวเอง

พอกพูนมานะอัตตาให้ยิ่งๆขึ้นไปได้ทุกวัน


ขอให้ทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง

หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นสมาธิ

ก็หมายความว่าเป็นสมาธิ

ที่อาศัยลมหายใจเป็นหลักตรึงจิตให้ตั้งมั่น


หากกล่าวว่าอานาปานสติเป็นการเจริญสติ

ก็ต้องหมายความว่าเป็นการเจริญสติ

ที่อาศัยการยอมรับตามจริงว่าลมหายใจไม่เที่ยง

ยอมรับตามจริงว่าเมื่อใดถึงเวลาเข้า เมื่อใดถึงเวลาออก

เมื่อถึงเวลาควรหยุด

กระทั่งเห็นชัดขึ้นมาเองว่าลมหายใจนั้น

เข้าแล้วต้องออก ออกแล้วต้องหยุด หยุดแล้วก็ต้องเข้าใหม่

เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น หาความเที่ยงไม่ได้

มีแต่ภาวะพัดไหวของธาตุลม

ไม่ได้ต่างจากสายลมที่พัดกิ่งไม้ใบหญ้าแม้แต่นิดเดียว

เห็นจนพอ ในที่สุดจิตก็ยอมรับตามจริงว่าลมไม่เที่ยง

ไม่มีลมไหนเลยในชีวิตที่เป็นตัวเรา

ไม่มีลมไหนเลยที่เป็นบุคคล ตัวตน เราเขา

แม้สุขที่เกิดจากอานาปานสติ

ตั้งอยู่ได้นานแค่ไหนก็ต้องเสื่อมลงเป็นธรรมดา

ไม่ต่างจากลมหายใจแต่อย่างใดเลย


เมื่อเข้าใจอยู่ด้วยมุมมองข้างต้น

คำว่าสมถะและวิปัสสนาก็กลายเป็นเครื่องเสริมกัน

ไม่ใช่ศัตรูที่ต้องมาตีกันในอานาปานสติ

ลมหายใจและความสุขสดชื่นจะเป็นเครื่องล่อใหม่

ให้จิตของเราผละออกมาจากเหยื่อล่อแบบโลกๆ

นั่นถือเป็นสมถะ ยกจิตให้พร้อมรู้

และความไม่เที่ยงของลมหายใจที่ปรากฏให้รู้

ก็จะก่อให้เกิดปัญญาเห็นตามจริง

กระทั่ง "ทิ้ง" อุปาทาน เกิดปรากฏการณ์มรรคผลขึ้นในที่สุด


) ทำอานาปานสติควรลืมตาหรือหลับตา?


คำตอบคือขึ้นอยู่กับว่าเรามีเวลาเท่าไร ทำที่ไหน

มีเวลามากสักชั่วโมงหลับตาก็ดีจะได้ไม่วอกแวก

มีเวลาน้อยตอนคอยใครจะลืมตาก็ดีจะได้ไม่หลงเพลิน


ในอานาปานสติสูตร

พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเจาะจงให้ลืมตาหรือหลับตา

แต่ขอให้พิจารณาตามจุดยืนจริงๆของแต่ละคน แต่ละขณะ

ถ้าลืมตาจะวอกแวกตามเหยื่อล่อสายตาไหม?

ถ้าหลับตาจะเคร่งเครียดเห็นนิมิตล่อใจวุ่นวายไหม?

ถ้ากำลังลืมตาหรือหลับตาแล้วเกิดข้อเสียใดๆ

ก็สลับกันเสีย เพื่อขับไล่ข้อเสียนั้นๆไป เท่านี้ก็จบ


หากลืมตาแล้วรู้ลมหายใจได้ต่อเนื่อง ก็ควรลืมตาให้มาก

หากหลับตาถึงจะรู้ลมหายใจได้นานๆ ก็ควรหลับตาให้ต่อเนื่อง

อย่าไปกลัว หรือไปยึดรูปแบบว่าจะเอาอย่างไหนถึงจะถูก

เพราะมันถูกตรงจิต ตรงสติ ตรงความสามารถรู้ความไม่เที่ยง

ไม่ใช่ถูกตรงหลับตาหรือลืมตา


สำหรับคนส่วนใหญ่จะพบว่าการหลับตา

คือการปิดกั้นเครื่องรบกวนสายตา อันนี้ก็ถูก

แต่สำหรับคนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกรบกวนด้วยเครื่องล่อตาง่ายๆ

และสมัครใจลืมตาทำอานาปานสติ อันนี้ก็อย่าว่ากัน


) ทำอานาปานสติควรนั่งขัดสมาธิหรือนั่งเก้าอี้?


ถ้านั่งขัดแข้งขัดขานานๆ

กล้ามเนื้อจะหดเกร็ง

และยิ่งถ้าได้ความพยายามเพ่งลมหายใจมาเสริม

สักพักเดียวก็อาจพบว่าเหน็บกินเหมือนร่ำๆจะพิการได้

แรกเริ่มจึงควรนั่งเก้าอี้ก่อน

อย่าไปติดยึดว่านั่งขัดสมาธิได้ถึงจะเก่งหรือถึงจะถูก


เมื่อนั่งเก้าอี้เจริญอานาปานสติจนบังเกิดความชุ่มชื่นแล้ว

คุณจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อผ่อนคลายสบายมาก

เพราะร่างกายหลั่งสารดีๆออกมา

และจิตก็ไม่ก่ออาการบีบคั้นร่างกายดังเคย

ถึงตรงนั้นถ้าเลื่อนขั้นมานั่งขัดสมาธิ

ก็จะได้ความสมดุลครบวงจร

ตามที่พระพุทธเจ้าแนะว่าอานาปานสติที่สมบูรณ์


) เสียงช่วยกำกับการฝึกอานาปานสติมีประโยชน์อย่างไร?


ปกตินักทำสมาธิหรือนักเจริญอานาปานสติมือใหม่

จะจับทิศจับทางไม่ถูก ได้หน้าลืมหลัง ไม่รู้จะเริ่มหนึ่ง สอง สามอย่างไร

ถ้ามีเสียงบอกคอยช่วย ก็จะมีประโยชน์ตรงที่ไม่ต้องหลงทาง

เหมือนคนเพิ่งฟื้นจากสลบกลางหมอกจัด

ถ้ามีใครมาจูงมือและคอยบอกว่าต้องก้าวขึ้นบันไดอย่างไร

เตือนให้ช้าหรือเร่งให้เร็วตามความเหมาะสมที่จังหวะไหน

โอกาสจะเข้าเขตปลอดโปร่ง ไม่ต้องหลงวกวนค่อยสูงขึ้น


อย่างไรก็ตาม เมื่อจับหลักได้ถูกต้องแม่นยำแล้ว

ก็ไม่ควรอาศัยเสียงเป็นเครื่องช่วยกำกับ

เพราะเสียงเป็นปฏิปักษ์กับสมาธิจิต

ถ้าคอยพะวงฟังเสียงหรือแปลความหมายของเสียงอยู่

จิตก็จะไม่วิเวกเต็มรอบ เข้าถึงฌานได้ยาก


ไฟล์เสียงช่วยกำกับการฝึกอานาปานสติจากดังตฤณ

แบ่งออกเป็นหลายช่วง

จุดประสงค์เป็นไปเพื่อให้ฟังแล้วเข้าใจตลอดสาย

ว่าจะดำเนินจิตแบบนับหนึ่ง สอง สาม กันท่าไหน

ขณะหนึ่งๆอยู่ตรงขั้นใดของอานาปานสติ

และกระทั่งจะนำไปเทียบเคียงกับโพชฌงค์ได้อย่างไร


ไฟล์เสียงทั้งหมดจะทยอยลงที่ด้านล่างนี้ตามลำดับ

Thursday, October 1, 2009

งานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร

งานประชุมวิชาการพระพุทธศาสนานานาชาติเทิดพระเกียรติ งานฉลองพระชันษา ๙๖ ปี
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
เรื่อง พระพุทธศาสนาสู่ศตวรรษใหม่
วันที่ ๓ ตุลาคม เวลา ๑๔.๓๐-๑๕.๓๐ นี้ครับ

รายละเอียดของงาน

สถานที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

Sunday, September 13, 2009

ร่วมประสบการณ์เห็นวิบากจากการอนุโมทนาด้วยกัน

ถ้าทำกรรมดีปุ๊บแล้วเกิดผลดีปั๊บ เช่น ทำบุญร้อยบาทมีคนยื่นเงินแสนตอบแทนทันที อย่างนี้พวกเราคงเชื่อกันง่ายว่าวิบากหรือผลของกรรมมีจริง

แต่นี่ไม่ใช่เช่นนั้น พวกเราถูกธรรมชาติออกแบบมาให้ ไม่เชื่อว่าวิบากมีจริงนะครับ ขืนถูกออกแบบให้เชื่อว่าวิบากมีจริงง่ายๆ สังสารวัฏคงมีแต่สวรรค์ ไม่มีนรกภูมิ ไม่มีเดรัจฉานภูมิ ไม่มีเปรตภูมิเอาเลย

ถ้าเชื่อการรู้แจ้งเห็นจริงของพระพุทธเจ้านะครับ เราต้องมองว่ากายนี้ใจนี้ทั้งแท่งนี่แหละ คือผลของกรรมเก่าจากชาติก่อนๆ ไม่ใช่แค่ชะตากรรมที่ต้องเจอนั่นเจอนี่เป็นคราวๆเท่านั้น

สรุปคือการถือกำเนิดนั่นเองคือผลของกรรมที่ทำรวมๆกันมาแต่ปางก่อน เกิดมาได้ดีหรือตกยาก อยู่ในวรรณะประณีตหรือหยาบ สูงต่ำดำขาว ล้วนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลของการทำกรรมดำกรรมขาวไว้ก่อนทั้งสิ้น

แต่ธรรมชาติจำกัดการรู้เห็นของเราไว้แค่ตรงนี้ เฉพาะที่เราเห็นชะตากรรมในชาตินี้ชีวิตนี้ จึงมักมีข้อสงสัย เช่น ทำไมคนทำชั่วยังเห็นได้ดีลอยนวลอยู่?

ถ้าคุณมีญาณระลึกชาติ พอส่องดูใครบางคนเช่นนักการเมืองที่โกงกิน แต่กลับลอยหน้าลอยตาเป็นใหญ่อยู่ ก็จะพบความจริงคือเขามีพื้นกรรมดีรองรับอยู่ก่อน คล้ายเขาสร้างเรือมาดิบดี เป็นลำใหญ่แข็งแรง เขาต้องใช้เวลาเจาะ ใช้เวลาทุบ ใช้เวลารื้อเรือของตัวเองเนิ่นนานกว่าที่มันจะจม เราไปหวังเห็นเรือล่มทันทีที่เขาเอาค้อนปอนด์ทุบพื้นเรือแรงๆโป้งเดียวมันไม่ได้

แต่เอาล่ะ วันนี้พวกเรามาเห็นการมีอยู่จริงของผลกรรม ด้วยการทำมหากุศลกรรมบางอย่างร่วมกันดีกว่า กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม นั่งอ่านหนังสืออยู่ถ้าตั้งเจตนาอะไรร่วมกันก็เป็นกรรมหมู่ ให้ผลแบบที่รู้สึกร่วมกันได้ครับ

ก่อนอื่นขอให้ข้อมูลเป็นการปูพื้นเบื้องต้นสักนิดหนึ่ง ณ เวลาที่คุณกำลังอ่านบรรทัดนี้ อาจมีใครบางคนอ่านอยู่พร้อมกัน อาจเป็นสองสามคน หรือสิบยี่สิบคน และที่แน่นอนคือก่อนหนังสือ อยากรู้ไหม?เล่มนี้จะวางตลาด ได้เคยมีคนอ่านคำตอบนี้มาแล้วหลายแสนคน นับแต่ที่ได้ลงในนิตยสาร ออกอากาศทางวิทยุ เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ตลอดจนตีพิมพ์ใน เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๑ หลายต่อหลายรอบ

รู้ข้อมูลนี้แล้วมีประโยชน์อย่างไร? มีประโยชน์ตรงที่เมื่อคุณระลึกถึงความจริงดังกล่าว ก็จะเกิดอารมณ์ร่วมขึ้นมา ไม่รู้สึกว่าอ่านข้อความนี้อยู่ตามลำพังเลย

อารมณ์ร่วมในที่นี้ อาจเป็นความรู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นอาการขนลุกแผ่ว หรืออาจรู้สึกเป็นจริงเป็นจังคล้ายกำลังร่วมประชุมใหญ่กับเพื่อนร่วมชมรมที่ถูกอัธยาศัยกัน พร้อมจะทำกิจกรรมอันเป็นมงคลร่วมกัน

อะไรดีที่ควรทำร่วมกัน? เอาแบบที่จะเกิดพลังใหญ่ให้รู้สึกชัดว่าไม่ใช่อุปาทานก็แล้วกันครับ มาตั้งใจร่วมกันรักษาศีลสักข้อหนึ่งร่วมกันดู

จากหลักความจริงทางธรรมชาติ เมื่อใดที่คิดรักษาศีลให้ได้เพียง ๑ ข้อด้วยความรู้สึกเด็ดเดี่ยว เมื่อนั้นคุณจะได้รับผลกรรมทันที เป็นความสุขใจ สุขเบา สุขเย็น และถ้าหากรับรู้ว่ามีกลุ่มคนอีกจำนวนมหาศาลกำหนดจิต ตั้งเจตนาเช่นเดียวกันด้วยใจซื่อ คุณจะยิ่งบังเกิดความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณ เพราะได้รับผลจากการร่วมยินดีในมหากุศลเจตนาของคลื่นมหาชนนับไม่ถ้วน!

ไม่ต้องลุกไปไหน ไม่ต้องพูดอะไร แค่คุณตัดสินใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งเดี๋ยวนี้ ขอแค่ศีลข้อแรกข้อเดียว เพียงตั้งเจตนาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะงดฆ่าสัตว์ งดเบียดเบียนชีวิตเพื่อนร่วมโลกเป็นเวลาหนึ่งวัน ผลกรรมที่จะเกิดขึ้นประจักษ์จิตทันทีโดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยบอก คือปีติสุขโปร่งเบาอย่างใหญ่ หรืออย่างน้อยที่สุดคือความเบากายเบาใจ แตกต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด!

แม้ผู้ที่รู้สึกว่าตนไม่ฆ่าสัตว์อยู่แล้ว ถ้าลองตั้งใจสำทับลงไปเพื่อให้เกิดความหนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้น ก็จะรู้สึกถึงกระแสสุขร่วมกันได้เช่นกัน นั่นเพราะอาจมีใครสักสิบคนร่วมตั้งเจตนาพร้อมๆกับคุณอยู่ และเคยมีใครอีกเป็นแสนที่ตั้งเจตนาเช่นนี้มาแล้ว ฉะนั้น ทันทีที่คุณตั้งใจจริงๆว่าวันนี้จะไม่ฆ่าสัตว์เป็นอันขาด คุณก็ย่อมสามารถรับรู้ถึงกระแสเจตนาเดียวกัน อันเกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ทั่วประเทศได้

อย่าประหลาดใจถ้ากำหนดเจตนาแน่วแน่แล้วรู้สึกถึงน้ำจิตที่หลั่งกระแสเมตตาออกมาไพศาล เพราะเมื่อเป็นหนึ่งในผู้ร่วมกระแสย่อมรู้สึกสัมผัสชัดถึงกระแสใหญ่นั้นไปด้วย

และอาศัยความจริงที่ว่าจะมีสัตว์รอดจากการถูกฆ่าจำนวนมากในวันที่กำลังอ่านนี้ รวมกับวันที่ผ่านๆมา คุณจะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนก่อกรรมประเภทไม่เบียดเบียน เมื่อร่วมก่อกรรมก็ต้องได้ร่วมเสวยผลกรรม

ปริมาณสัตว์ที่รอดเพราะการอธิษฐานร่วมกัน จะก่อตัวเป็นพลังใหญ่ ใช้อ้างในการทดลองอธิษฐานพิสูจน์กรรมได้ โดยคิดว่า หากผลของการให้อภัยสัตว์เป็นทานร่วมกันนี้มีความไพบูลย์จริง ก็ขอให้โรคภัยไข้เจ็บเล็กใหญ่ที่เป็นอยู่ทุเลาลง ทรมานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเร็วที่สุด

อย่าอธิษฐานตามใจชอบในแบบที่จะทำให้เสียกำลังใจ เช่นขอให้หายขาด ขอให้ไม่เป็นโรคอีกเลย เพราะกำลังบุญที่คุณทำนั้นมีกำหนดชั่วระยะวันเดียว ยังอาจสู้กับกรรมเก่าที่ทำมาเป็นปีๆเป็นชาติๆไม่ได้ อีกอย่างแม้พระพุทธองค์ก็ทรงจำแนกไว้ ว่าความป่วยไข้เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ ทั้งลมฟ้าอากาศ ทั้งการบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอ ทั้งการทำงานหนักเกินกำลัง และทั้งการเสวยวิบากแห่งกรรม ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นโรคที่เกี่ยวกับความเฉื่อยชาไม่ออกกำลังกาย วิธีแก้ตรงๆคือออกกำลังกายให้มากขึ้น

การเป็นหนึ่งในผู้เข้าโครงการอธิษฐานงดปลงชีวิตสัตว์หนึ่งวันนี้ จะมีผลให้สุขภาพของคุณดีขึ้นกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครจะถูกโรคใดโรคหนึ่งรบกวนอยู่ เพราะวิบากของการงดปลงชีวิตสัตว์แม้ถูกกวนใจนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย (คือแข็งแรงนั่นเอง) ในที่นี้เราทำกันแบบมีตัวคูณ ไม่ได้แยกทำเดี่ยวๆ ก็ย่อมมีแนวโน้มสูงยิ่งที่จะเห็นผลทันตาครับ

หลักฐานที่ปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ วันนี้ น่าจะช่วยให้คุณคลายสงสัยได้บ้างนะครับว่าผลของกรรม หรือวิบากแห่งกรรมเป็นเรื่องหลอกหรือของจริง!